วิธีการเรียนของ Wall Street
  1. เรียนกับ Computer ในส่วนของบทเรียน ก็จะมีการพูด ฟัง อ่าน ทำบททดสอบ และมีการวัดผลด้วย Computer เลย
  2. มีการทำบทเรียนในหนังสือ (เป็นการทบทวนสิ่งที่ได้เรียนจาก Computer มาช่วย) โดยในส่วนของ 2 ข้อด้านบนจะมี Personal Trainers (PT) คอยเข้าช่วยเหลือและทำความเข้าใจในส่วนที่เรามีปัญหา
  3. มี Class (Social club & Complementary Class & Other) ซึ่งคล้ายๆ สนามของการฝึกฝนความรู้กับเพื่อนๆ และการใช้ความรู้ของผู้สอน โดยที่ผู้สอนเป็นชาวต่างชาติ โดยจะสอนในวงความรู้ตาม Class ของผู้เรียน และมีหลาย Class ให้เลือก เรียนในแต่ละสาขา ไม่เกิน class ละ 12 คน
  4. มี Encounter Class สำหรับการประเมินผลโดยอาจารย์ชาวต่างชาติ ไม่เกิน class ละไม่เกิน 4 คน คล้ายๆ การสรุปบทเรียนค่ะ และถามตอบกันในเชิงการใช้งานและความเข้าใจ
  5. มี Community สำหรับการคุยกันระหว่านักศึกษาด้วยกัน จากหลาย ๆ ประเทศ และมีแบบฝึกทดสอบ บทความต่างๆ ให้เราได้ลองฝึกทำฝึกอ่านฝึกคุยกับคนจริงๆ ได
Chart แยกระดับ Level ของ Wall Street 
ข้อดี
  1. มันจ่ายค่อนข้างแพงค่ะ(เหตุผลดูแย่เนอะคะ) ทำให้เรารักษาวินัยในการเรียนมาก คือเรียนภาษามาหลายครั้งแล้ว ก็ลืมบ้างอะไรบ้าง ไม่ค่อยได้ใช้ คราวนี้ถึงคราใด้ใช้จริงๆ เรียนไป ใช้ไป ก็ ok ค่ะ และถ้าเทียบเป็นรายชั่วโมงที่เราไปเรียนตกแล้วเดือนละประมาณ 5 พันบาท เรา Walk in เข้าไปเรียนเดือนหนึ่งกับ computer ประมาณ 6-8 ครั้ง เข้า class กับผู้สอนอีกอย่างน้อยเดือนละ 4-6 ครั้ง (จริงๆ ถ้ามีเวลามากกว่านี้จะคุ้มมากๆ น่ะค่ะ) หารออกมาเป็นรายชั่วโมงก็ถือว่าพอๆ กับสถาบันทั่วๆ ไปน่ะค่ะ
  2. การเรียนค่อนข้างเป็นส่วนตัวดีค่ะ อยากถามอะไรก็ถามกับ PT ในแต่ละครั้งของการเรียน ก็ถามได้ค่ะ (PT ที่เจอน่ารักค่ะ ถามอะไรก็ตอบให้อย่างเต็มใจ)แถมมีสนามให้ใช้จริงจากการเข้า Social Club, Complementary และ Encounter Class ซึ่งในแต่ละ Class คนไม่ได้เยอะ ถือว่าใช้ได้ค่ะ ลดความประหม่าไปได้แยะ แถมได้ศัพท์ หรือสำนวนใหม่ๆ สำหรับใช้ในการพูดอีกพอสมควร
  3. ขอเน้นอีกข้อค่ะ ว่ามันแพง ถ้าไม่ได้มีเงินเป็นถุงเป็นถังแบบใช้บ้างทิ้งบ้าง ให้ถามตัวเองให้เยอะๆ เลยนะคะ ว่าเรียนเพื่ออะไร เอามาใช้ได้หรือไม่ ส่วนตัว ความตั้งใจคือเรียนเอามาใช้ในการทำงาน(ช่วงนี้ต้องทำงานกับชาวต่างชาติหลายสัญชาติค่ะ พูดกันระรัว ผู้เขียนถึงกับมึนไปค่ะ และเกรงว่าบางทีคำที่เราใช้กับเค้าในบางเรื่องเวลาที่มีการโต้เถียงกันจะไม่สุภาพน่ะค่ะ เลยไปเรียนให้รู้ว่าสิ่งที่ควร และไม่ควรในการพูดมันมีอะไรบ้างน่ะค่ะ) การอ่านหนังสือที่อยากอ่าน และทำบ้านสองภาษากับลูกค่ะ (เปิดโลกด้วยการอ่านก็ต้องเข้าใจในภาษาน่ะค่ะ) อาจจะใช้ถูกบ้างไม่ถูกบ้าง เหมือนภาษาไทยนั่นแหละค่ะ คงไม่มีใครเขียนหรือพูดอะไรตามกฎของภาษาทุกเรื่อง แต่ขอให้คุยกันรู้เรื่องก็พอค่ะ ซึ่งถ้าต้องการความเลิศหรู ถูกต้องทุกสิ่งอย่าง สำหรับที่ wall street ใน level ต้นๆ อาจจะไม่ได้ในเรื่องนี้ เพราะรู้สึกว่าเค้าสอนเพื่ออยากให้เรากล้าที่จะพูด และเขียนพอได้ก่อนน่ะค่ะ อาจารย์เค้าจะไม่ได้จับผิดในทุกคำ ยกเว้นถ้าไม่มีอะไรจะให้จับผิดแล้วเค้าก็จะลงลึกในบางรายละเอียดกับเราให้ค่ะ
  4. สำหรับคนที่ไม่มีสนามจริงให้ปะลองภาษาเลย แนะนำว่าถ้าเรียนแล้ว ให้สละเวลาว่างไปกิน ไปนอนกันที่โรงเรียนเลยค่ะ เพราะเราจะได้ฝึกบ่อยๆ (อยู่ข้างในสถาบันเค้าจะไม่ให้พูดไทย ยกเว้นคุยกับ PT เวลาที่เราไม่เข้าใจซักกะทีน่ะคะและอาจารย์ฝรั่ง ถ้าคุ้นกันเค้าก็จะเข้ามาคุยกับเรา เหมือนเพื่อนๆ กันน่ะค่ะ พูดผิดบ้างถูกบ้าง ก็ยังดีกว่าไม่ได้พูดเลยค่ะ)

ข้อเสีย
  1. มันแพงจริงๆ ค่ะเพราะต้องจ่ายก้อนโตกันเลยทีเดียว ณ วันแรกที่สมัครเรียน(ราคาแบบซื้อลูกควายมาเลี้ยงได้หลายตัวอยู่ค่ะ ==") กรณีที่ผู้เรียนไม่ค่อยมเวลา และไม่มีวินัยในด้านการจัดการเวลา ไม่แนะนำให้เรียนค่ะ
  2. อาจารย์ที่เข้ามาสอนก็ไม่ได้สอนดีทุกคนหรอกนะคะ คือเท่าที่เจอทุกคนมี degree ค่ะ แต่ทักษะในการสอน หรือการสื่อสารไม่เหมือนกัน เหมือนกับที่เราเรียนในมหาวิทยาลัย และเจออาจารย์ที่เป็น Dr แต่สอนไม่รู้เรื่องน่ะค่ะ ไม่ใช่ฝรั่งกะเหรี่ยงแต่อย่างใด (ข้อนี้พอไหวค่ะ เพราะเวลาเรียนไม่ได้เจอคนแค่คนเดียว ขึ้นอยู่กับ Class ที่เรา Book ไว้ค่ะ ดีค่ะ ถือว่าเป็นการศึกษาคนในแต่ละประเทศไปในตัว)
  3. ไม่เหมาะกับคนที่จะเรียนเพื่อใช้ภาษาอังกฤษให้ถูกต้องตามหลักไวยกรณ์เป๊ะ ๆ เพราะที่นี่เค้าเน้นสอนให้เรียนเพื่อเอาไปใช้ ดูแล้วจะไม่เน้นเรียนเพื่อเอาไปสอบน่ะค่ะ ถ้ามีความรู้มาก ๆ อยู่แล้วอาจจะเซ็งๆ น่ะค่ะ ที่นี่จะอารมณ์ ฝึกทำอะไรซ้ำๆ ประจำๆ เพื่อที่จะได้พูด อ่าน เขียน ได้ แบบ Automatic เหมือนที่เราใช้ภาษาไทยกันอยู่นี่ล่ะค่ะ เน้น…เหมาะกับคนที่ยังไม่ได้รู้มาก ต้องการรู้เพิ่ม และหาสนามซ้อมก่อนลงสนามจริงค่ะ
  4. สำหรับผู้ที่ไม่ค่อยเก่ง และอยากเก่ง ที่นี่ไม่ได้รับประกันว่า Success ภายใน 1 เดือนนะคะ ตามที่เคยคุยกับ sales ก็คุยกันตรงๆ ว่าโดยระดับคนปกติ (ถ้าเกินปกติคงไม่มาเรียนหรอก ==”) จะใช้เวลาอยู่ประมาณ 6 เดือนกว่าจะเข้ารูปเข้ารอย และดูเป็นธรรมชาติในการสื่อสารมากขึ้น อันนี้ต้องเข้าใจนะคะ (คือตัวเราเรียนมาหลายครั้งแล้ว ก็พอเข้าใจได้ค่ะ ภาษามันต้องได้ฝึกบ่อยๆ มากๆ มันถึงจะพูดอ่านเขียนได้ดีน่ะค่ะ)
  5. ถ้าคิดว่าจะเรียนตาม Course อย่างเดียว แต่ไม่ฝึกฝนเพิ่มเติมเลย จากประสบการณ์เก่าๆ ที่เคยเป็น ความรู้มันจะหายไปน่ะค่ะ ต้องฝึกตัวเอง (ส่วนนี้ต้อง take care your self น่ะค่ะ) คิดไว้ค่ะ มันแพงๆๆๆๆ ต้องฝึกๆๆๆๆ ค่ะ อย่าให้เสียของ
  6. ประชาสัมพันธ์(เค้าว่ากัน) คือคนที่เราต้องคุยกับเค้าอย่างสม่ำเสมอในการขอเข้าเรียน การ book class ต่างๆ บางคนอาจจะดูเหวี่ยงๆ หน่อยอ่ะค่ะ คล้ายๆ ติดต่อราชการสมัยก่อน เอิ่ม...บังเอิญต้วเราเองก็เหวี่ยงได้โล่เหมือนกันค่ะ แค่เหวี่ยงกลับไประดับ 1 เค้าก็เพลาลงแล้วล่ะค่ะ จริงๆ ตรงจุดประชาสัมพันธ์นี้จะมีคนยืนประจำอยู่อย่างน้อย 2 คน และเค้าต้องเจอคนร้อยพ่อพันแม่ (ลึกๆ แอบเห็นใจ และพอเข้าใจ) เอาเป็นว่าเราไม่อยากคุยกับเค้า เราก็เลือกคุยกับคนอื่นก็ได้ค่ะ ลดปัญหาลงไป หรือถ้าเซ็งจัดก็แจ้งหัวหน้าสถาบันที่นั้นๆ เลยค่ะ เราเป็นผู้รับบริการ ก็เคารพสิทธิซึ่งกันและกัน win win ค่ะ
  7. สำคัญค่ะข้อนี้(ขอเน้นทั้งสีทั้งเส้นเลยนะคะ) ก่อนเข้าไปในสถาบันเพื่อคุยกับ Sales ให้ตั้งสติให้มั่นนะคะถ้าแค่อยากถามเฉยๆ ก็บอกกับตัวเองเลยค่ะว่าชั้นจะไม่จ่ายเงินวันนี้ แต่ถ้าเกิดว่าสนใจแน่ๆ ถ้าอยากเรียนจริงๆ ก็เตรียมต่อรองราคา (เอาแบบสำเพ็งไปเลยก็ได้ค่ะ) เค้าจะมี min-max ในการลดราคาอยู่แล้ว จัดไปอย่าให้เสียค่ะ (sales ที่นี่จะเหมือนกัน sales ขายฟิตเนตน่ะค่ะ เก่งระดับนั้น ถ้าเราสติหลุด และไม่ได้ตั้งอยากเรียนจริงๆ หรือไม่พร้อมในเรื่องการจัดการเวลา แล้วเผลอไปสมัครเข้า คุณจะเสียเงินฟรีๆ โดยที่ไม่ได้อะไรเลยค่ะ)

สรุป ถ้าพร้อมแนะนำให้ลงทะเบียนไว้ก่อน ที่ www.wallstreetenglish.in.th แล้วเข้าไปวัดระดับ(ฟรี)อีกทีจะได้รู้ว่าเราอยู่ระดับไหน รวมถึงได้สัมผัสบรรยากาศของจริงที่สถาบันว่าโอเคไหม แล้วมาตันสินใจอีกทีว่าจะเอายังไงดีที่สุดค่ะ